เมนูนำทาง
แอนดี แคร์โรล สโมสรอาชีพแคร์โรลเคยเป็นเด็กปั้นจากทีมเยาวชนของนิวคาสเซิลมาก่อนที่จะย้ายไปด้วยค่าตัวที่ไม่สมเหตุสมผล เขาเคยได้รับการเปรียบเทียบกับ อลัน เชียเรอร์ อดีตกัปตันทีมชาติอังกฤษ และนิวคาสเซิล ซึ่งเขาก็ได้รับสืบทอดเบอร์ 9 ต่อจาก เชียเรอร์ เนื่องจากมีทักษะการโหม่งบอลที่ยอดเยี่ยม เขาเคยได้รับฉายาหอคอยเพชฌฆาต เนื่องจากเป็นนักฟุตบอลที่ตัวสูงที่สุดในทีมชุดใหญ่ของนิวคาสเซิลแคร์โรลเคยเล่นให้แก่ เปรสตัน นอร์ทเอนด์ ในสัญญายืมตัวมาแล้ว โดยแคร์โรล์ถือเป็นนักเตะอารมณ์ร้อนคนนึง โดยเขาทำข่าวฉาวด้วยการชกต่อยกับ สตีเวน เทย์เลอร์ กองหลังตัวหลักของทีมในสนามซ้อมจนเทย์เลอร์ขากรรไกรหัก โดยเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในเดือนมีนาคม ปี 2010 และยังเคยมีเรื่องกับ ชาร์ล เอ็นซ็อกเบีย ซึ่งในขณะนั้นอยู่นิวคาสเซิลยูไนเต็ด
นอกจากนี้ แคร์โรล ยังมีคุณย่าเป็นชาวสก็อต ทำให้เขาสามารถเลือกที่จะเล่นให้ทีมชาติสกอตแลนด์ได้ แต่เขาก็เลือกที่จะเล่นให้ทีมชาติอังกฤษในที่สุด
ในฤดูกาล 2008-2009 แคร์โรล กลับมาเล่นให้แก่ นิวคาสเซิล อีกครั้ง ซึ่งเขาก็ได้รับ โอกาสมากขึ้นในฐานะตัวสำรอง โดยได้ลงสนามไปทั้งหมด 16 เกมทำไป 3 ประตู พร้อมกับได้รับการต่อสัญญาใหม่จากสโมสรไปอีก 3 ปีครึ่ง แต่น่าเสียดายที่ปีนั้น นิวคาสเซิลตกชั้นสู่ เดอะแชมเปียนชิป
ในฤดูกาล 2009-2010 หลังจาก นิวคาสเซิลยูไนเต็ด ตกชั้นสู่ เดอะแชมเปียนชิป ทำให้นักเตะในตำแหน่งกองหน้าอย่าง โอบาเฟมี่ มาร์ตินส์ ที่ย้ายออกไป ฮอฟเฟนไฮม์, ไมเคิล โอเวน ที่ย้ายไปร่วมทีม แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด โดยไม่คิดสินจ้าง และการเลิกเล่นของ มาร์ค วิดูก้า ทำให้แคร์โรลมีโอกาสลงเล่นมากขึ้นจนเป็นตัวหลักในตำแหน่งกองหน้าซึ่งแคร์โรลยิงไป 17 ประตูในลีก ช่วยให้ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด คว้าแชมป์ เดอะแชมเปียนชิป มาครอง รวมแคร์โรลยิงในทุกรายการไป 19 ประตู พร้อมกับพาทีมกลับมาเล่นในพรีเมียร์ลีก ในฤดูกาลต่อมาได้สำเร็จ อีกทั้งจากผลงานรองดาวซัลโวของลีก ทำให้เขาได้รับ เลือกให้ติดทีมยอดเยี่ยม ประจำฤดูกาลอีกด้วย
แคร์โรล เล่นให้แก่ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด ในปี 2010ในฤดูกาล 2010-2011 แคร์โรล สามารถทำแฮตทริกได้ในเกมส์พบ แอสตันวิลลา โดย นิวคาสเซิลยูไนเต็ด ชนะ 6-0 [3][4] โดยแคร์โรลลงเล่นทั้งหมด 19 นัด ยิงได้ 11 ประตู ก่อนจะย้ายไปร่วมทีม ลิเวอร์พูล ในสิ้นเดือนมกราคม 2011
ในสิ้นเดือนมกราคม 2011 แคร์โรล ย้ายไป ลิเวอร์พูล ด้วยค่าตัว 35 ล้านปอนด์ ก่อนปิดตลาดไม่กี่ชั่วโมง ทำสถิติเป็นนักเตะสัญชาติอังกฤษที่แพงที่สุดในโลก โดย แคร์โรล ได้สวมหมายเลข 9 แทน เฟร์นันโด ตอร์เรส ที่ย้ายไปร่วมทีม เชลซี และแคร์โรลได้ลงประเดิมสนามให้ ลิเวอร์พูล เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2011 ที่เอาชนะ คู่ปรับตลอดกาล แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 3-1 โดยถูกส่งลงไปเป็นตัวสำรองในช่วงท้ายเกม อีก 4 วันต่อมา แคร์โรล์ ก็มีโอกาสได้สัมผัสเกมยุโรปกับลิเวอร์พูลเป็นครั้งแรก ในการไปเยือน บราก้า ในศึกยูโรป้า ลีก โดยลงเป็นตัวสำรองอีกครั้งในต้นครึ่งหลัง ต่อมา ในวันที่ 29 มีนาคม 2011 แคร์โรล์ มีโอกาสได้ลงเป็นตัวจริงให้กับลิเวอร์พูลเป็นนัดแรก ในเกมพบกับ ซันเดอร์แลนด์ ต่อมา ในเดือนเมษายน ปี 2011 แคร์โรล ทำประตูแรกให้แก่ลิเวอร์พูล ในเกมส์พบ แมนเชสเตอร์ซิตี ซึ่ง แคร์โรลทำได้ 2 ประตู และ ลิเวอร์พูล ชนะ 3-0 พร้อมกับรับตำแหน่งนักเตะยอดเยี่ยมประจำเกมไปครอง อย่างไรก็ตามในช่วงท้าย ๆ ฤดูกาล แคร์โรล์ มีอาการบาดเจ็บรบกวน แม้จะฟิตกลับ มาแต่ เคนนี่ ดัลกลิช ก็ไม่ต้องการฝืนใช้งานมาก โดย ดัลกลิช ต้องการให้เขา ได้พักอย่างเต็มที่เพราะเกรงว่าร่างกายดาวยิงรายนี้ยังไม่เข้าที่มากนัก เคนนี่ ดัลกลิช ยังใจดีส่ง แคร์โรล์ ลงสนามพบกับนิวคาสเซิ่ลทีมเก่าด้วยแต่ก็ใน ฐานะตัวสำรองเท่านั้น
แคร์โรล เล่นให้แก่ ลิเวอร์พูล ในปี 2011ในฤดูกาล 2011-2012 แคร์โรลได้มีโอกาสลงเล่นตัวจริง และ ตัวสำรองสลับกันไปบ้าง ในวันที่ 24 สิงหาคม 2011 ในลีกคัพ รอบ 2 แคร์โรล ได้ทำประตูแรกให้แก่ลิเวอร์พูล เอาชนะ Exeter City 3-0 ต่อมา ในวันที่ 1 ตุลาคม 2012 แคร์โรล ได้ทำประตูแรกให้แก่ลิเวอร์พูล ใน พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2011–12 ในเกมส์ที่เอาชนะ เอฟเวอร์ตัน คู่ปรับร่วมเมืองไป 2-0 ต่อมา แคร์โรลก็ทำประตูที่ 2 ในฤดูกาล ในเกมส์ที่เอาชนะ เวสต์บรอมวิช 2-0 ต่อมา ในเอฟเอคัพ รอบ 3 แคร์โรลก็ทำประตูแรกในปี 2012 โดยเอาชนะ โอลดัมแอทเลติก 5-1 และในวันที่ 28 มกราคม 2012 ในเอฟเอคัพ รอบ 4 แคร์โรลก็โหม่งให้ เดิร์ค เคาท์ ทำประตูชัยให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด คู่ปรับตลอดกาลไป 2-1 ในวันที่ 31 มกราคม 2012 แคร์โรลก็ทำประตูที่ 3 ในพรีเมียร์ลีก ในเกมส์ที่เอาชนะ วูล์ฟแฮมป์ตัน 3-0 ต่อมา ในเอฟเอคัพ รอบ 5 ลิเวอร์พูล พบ ไบรท์ตัน โดย แคร์โรลทำประตูได้ในนาที 53 ทำให้ลิเวอร์พูลขึ้นนำ ไบรท์ตันไป 3-1 และจบลงด้วยลิเวอร์พูลชนะไป 6-1 ต่อมา ในลีกคัพ นัดชิงชนะเลิศ ที่สนามนิวเวมบลีย์ แคร์โรล ช่วยให้ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ลีกคัพ สมัยที่ 8 มาครอง จากการยิงจุดโทษตัดสินชนะ คาร์ดิฟซีตี ผลประตูรวม 3-2 และเป็นแชมป์แรกของ แคร์โรล นับตั้งแต่ย้ายมาอยู่กับ ลิเวอร์พูล ต่อมา แคร์โรล ก็ทำประตูที่ 4 ในพรีเมียร์ลีก โดยทำประตูชัยให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส 3-2 ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ต่อมา ในเอฟเอคัพ รอบรองชนะเลิศ ที่สนามนิวเวมบลีย์ แคร์โรล ได้ทำประตูชัยให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เอฟเวอร์ตัน คู่ปรับร่วมเมืองไป 2-1 โดยแคร์โรลทำประตูสำคัญได้ในนาที 87 ทำให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศ เอฟเอคัพ กับ เชลซี ที่สนามนิวเวมบลีย์ ซึ่ง แคร์โรล ลงสนามเป็นตัวสำรองมาทำประตูตีไข่แตกไล่มาเป็น 1-2 จากนั้นยังบุกต่อเนื่อง และมีโอกาสตีเสมอจากแคร์โรลที่โหม่งเหมือนจะข้ามเส้น แต่โดน ปีเตอร์ เช็ค ควักบอลออกมาได้ สุดท้าย ลิเวอร์พูล ก็เป็นฝ่ายแพ้ไป ทำให้ ลิเวอร์พูลพลาดโอกาสคว้าแชมป์เอฟเอคัพ อย่างน่าเสียดาย
ในฤดูกาล 2012-2013 แคร์โรล ได้ลงสนามให้กับ ลิเวอร์พูล แค่ 2 นัดเท่านั้น เนื่องจาก ลิเวอร์พูล ได้ เบรนแดน ร็อดเจอร์ มาเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ ทำให้ แคร์โรล ไม่อยู่ในแผนการทำทีมของ ร็อดเจอร์ โดย แคร์โรล ตัดสินใจย้ายไปร่วมทีม เวสต์แฮมยูไนเต็ด ด้วยสัญญายืมตัว
ในวันที่ 30 สิงหาคม 2012 แคร์โรล ได้ย้ายไป เวสต์แฮมยูไนเต็ด ด้วยสัญญายืมตัว พร้อมอ็อปชั่นซื้อขาดในซัมเมอร์หน้า
เมนูนำทาง
แอนดี แคร์โรล สโมสรอาชีพใกล้เคียง
แอนดี มาร์รี แอนดี้ เขมพิมุก แอนดี ร็อดดิก แอนดี โกลด์สเวิร์ทธี แอนดี แคร์โรล แอนดี คอฟแมน แอนดี รูบิน แอนดี คิง แอนดี วอร์ฮอล แอนดี อีแหล่งที่มา
WikiPedia: แอนดี แคร์โรล http://www.premierleague.com/en-gb/players/profile... http://www.liverpoolfc.tv/team/first-team/player/9... http://www.guardian.co.uk/football/2009/sep/21/new... http://www.nufc.premiumtv.co.uk/page/PlayerProfile... http://www.thenorthernecho.co.uk/sport/football/ne...